เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o เม.ย. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรม ชีวิตนี้เกิดมาเป็นสมมุติ คำว่า “สมมุติ” คือมันชั่วคราว ชีวิตนี้มันไม่ยั่งยืน ชีวิตเกิดมา เราต้องรีบทำคุณงามความดีของเรา คุณงามความดีของเรา สิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตมีการเกิดและการตาย สิ่งมีชีวิตมีการเกิดการตาย สิ่งมีชีวิตมันต้องเกิดและตาย

ดูสิ ดูพืชพันธุ์ สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณครอง มันยังต้องเกิดต้องตาย แล้วคนเราต้องมีการเกิดและการตาย สิ่งมีชีวิตมีการเกิดและการตาย การเกิดและการตายนั้นมีบุญกุศลบาปอกุศลทำให้เกิดดีและเกิดชั่ว

การเกิดดี เกิดดี เกิดเป็นคนที่ดี เกิดมาแล้วมีจิตใจที่มีคุณธรรม สิ่งใดทำคุณงามความดีของเราเพื่อประโยชน์กับเราไง จิตใจที่เกิดมาต่ำต้อย จิตใจที่เกิดมาต่ำต้อยแล้ว จิตใจต่ำต้อย ร่างกายเหมือนกัน จิตใจมันต่ำต้อย แต่เวลาการต่ำต้อยนั้นทำลายตนๆ ทำลายตนมันสุจริตกับทุจริตไง ความที่เป็นสุจริต ความสุจริตเป็นการคุ้มครองเรา ความทุจริตนะ บาปกับบุญไง คนเราเกิดมามีสิ่งที่เป็นทรัพย์สมบัติของเรา ที่จะไปกับเรามีบาปกับบุญเท่านั้น มีดีและชั่ว สิ่งที่ดีและชั่ว สิ่งที่ดีและชั่วมันอยู่ตรงไหนล่ะ สิ่งที่ดีและชั่วมันเป็นที่มุมมองไง

ถ้ามุมมองของคนที่จิตใจต่ำต้อยมันมองว่าสิ่งนั้นเป็นความดีของเขา เป็นประโยชน์กับเขา เป็นผลประโยชน์กับเขา เพราะจิตใจเขาคิดได้แค่นั้นไง วุฒิภาวะของเขาไง แต่จิตใจที่เป็นคุณธรรมนะ ทำแต่สิ่งที่ดีๆ สิ่งที่ดีทางโลก เขาบอกว่าเรามีแต่เสียเปรียบๆ

คำว่า “เสียเปรียบ” เสียเปรียบ เราพอใจไง เราไม่ได้เสียเปรียบ จิตใจเรากว้างใหญ่ จิตใจเรามีน้ำใจ เรามอบให้เขา เราให้เขาด้วยน้ำใจของเราไง เรามอบให้เขาด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เห็นไหม สิ่งมีชีวิตไง

สิ่งที่ไม่มีชีวิต วัตถุก่อสร้างต่างๆ บ้านเรือนของเรา ใครเป็นคนสร้างมา สิ่งที่เป็นมนุษย์สร้างมา สิ่งที่สร้างมา พอสร้างขึ้นมาแล้วมันก็มีย่อยสลายไปเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่มันคงที่ได้ สิ่งที่มันจะยืนอยู่ได้ต้องมีการบำรุงรักษา การบำรุงรักษา การดูแลรักษา การกระทำไง การกระทำ สิ่งที่ไม่มีชีวิตยังต้องมีการเปลี่ยนแปลง ต้องมีการสร้างสมค้ำยันมันเพื่อความดี แล้วสิ่งที่มีชีวิตๆ สิ่งที่มีคุณค่ากว่าไง ถ้ามีคุณค่ากว่า จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

สิ่งที่ไม่มีชีวิตคือวัตถุนั้นมันไม่มีชีวิต มันรับรู้สิ่งใดไม่ได้ มีแต่เจ้าของมันเท่านั้นแหละไปตื่นเต้นไปกับมันไง คนที่เป็นเจ้าของมัน คนที่ดูแลมัน ไปตื่นเต้นกับสิ่งที่เป็นวัตถุที่เราสร้างขึ้นมาเอง แต่สิ่งมีชีวิตๆ ตัวมันเองมันไม่รู้สึกตัวมันเองไง

ถ้าสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มันรู้สุขรู้ทุกข์นี่ไง สิ่งที่รู้สุขรู้ทุกข์ได้ แต่ด้วยอวิชชา ด้วยความไม่รู้ของเรามันถึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง เวลาไม่รู้ว่าเกิด อวิชชาคือความไม่รู้ ไม่รู้ในตัวมันเอง แต่รู้ทุกๆ อย่างนะ ส่งออกนี่เก่งไปหมด ถ้าเรื่องของคนอื่นรู้หมด เรื่องของตัวเองไม่รู้ เรื่องของตัวเองไม่เข้าใจไง

เวลาทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามา ยังไม่รู้จักความสงบไง ยังไม่รู้จักความสงบเพราะอะไร เพราะว่าอวิชชามันปกคลุมมันไว้ไง เวลามันตกภวังค์ “ว่างๆ ว่างๆ” ว่างๆ นั่นอารมณ์ ไม่ใช่ใจ มันเป็นความคิดๆ ไง

ถ้าเป็นใจ มันไม่พาดพิงสิ่งใดเลย แล้วมันชัดเจนของมันขึ้นมา ถ้ามันชัดเจนของมัน นี่ไง สิ่งมีชีวิตที่มีสัมมาทิฏฐิ ที่มีความเห็นถูกต้องดีงามขึ้นมา มันจะเข้าไปสู่ใจของตน ถ้าเข้าไปสู่ใจของตน นั่นล่ะสัมมาสมาธิคือจิตตั้งมั่น แล้วจิตเราตั้งมั่นไหม จิตมันหลับใหล หลับใหล “ว่างๆ ว่างๆ”

ว่างๆ เพราะไม่รู้ตัว ว่างๆ เพราะมันตกภวังค์ไป มันไม่รู้สิ่งใดเลย แต่มันคาดหมายว่ามันรู้ พอรู้ขึ้นมา พอมันสะดุ้งตื่นมาบอกนั่นคือว่างๆ เพราะมันจับความผิดพลาดของมันไม่ได้ เวลามันคิดว่าว่าง นั่นยิ่งหยาบเข้าไปใหญ่ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องของเรานะ

สิ่งมีชีวิตที่มีวิญญาณครอง แล้ววิญญาณตัวนี้ วิญญาณตัวนี้ ดูสิ คนเราเกิดมาเหมือนหุ่นยนต์ ถ้าไม่รู้จักใจของตน หุ่นยนต์ดีๆ นี่แหละ ดูสิ ตอนนี้เรื่องเศรษฐกิจมันจะเข้าไปยุคของเครื่องยนต์กลไกแล้ว เข้าไปยุคหุ่นยนต์แล้ว หุ่นยนต์แย่งงานทำหมดล่ะ แล้วหุ่นยนต์ใครเป็นคนทำมา ปัญญาประดิษฐ์ ปัญญาประดิษฐ์มันไม่มีวิญญาณ แล้วตอนนี้เขาพยายามสร้างสมขึ้นมานะ ต่อไปมันจะเป็นโลกของเทคโนโลยี โลกของหุ่นยนต์นะ โลกของหุ่นยนต์ไม่มีพระอรหันต์ พระอรหันต์ขึ้นมามันต้องเข้ามาที่ใจของคน มันต้องมาที่จิตวิญญาณดวงนี้ ถ้าจิตดวงนี้

ดูสิ เวลาเรื่องวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรื่องพันธุกรรม เขาตัดแต่งกันไป ลองทำไปเรื่อยๆ มันเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ มันเพราะอะไร เพราะมันเป็นธุรกิจไง มันเป็นเรื่องของกำไรขาดทุนไง มันเรื่องกำไรขาดทุนแล้วมันมีศีลธรรมหรือไม่ ถ้ามีศีลธรรม มันเป็นความจริงหรือไม่ คนเราไม่มีเวรมีกรรมใช่ไหม ทำดีไม่ได้ดีหรือ อย่างนั้นมันก็ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่วสิ

ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ใครทำคุณงามความดีต้องเป็นความดีวันยังค่ำ จะทำกับใครก็เป็นความดีทั้งนั้นน่ะ แต่ความดีนั้นมันเป็นกาลเทศะ กาลเทศะเราทำกับใครๆ ดูสิ เวลาเราทำบุญกุศล เทวดาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควรทำที่ไหน

ควรทำที่เธอพอใจ ถ้าเธอพอใจรีบๆ ทำนะ ถ้าไม่รีบทำ เดี๋ยวกิเลสมันบอกไม่ควรทำ ของของเรา เราตระหนี่ถี่เหนียว

เธอควรทำบุญที่ไหน ควรทำบุญที่เธอพอใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉลาดขนาดนั้นนะ คนเราความคิดมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความคิดมันปลิ้นปล้อนตลอดเวลา ถ้าเธอพอใจที่ไหน เธอเห็นคุณงามความดีที่ไหน เธอควรรีบๆ ทำเลย

แล้วถ้าเอาผลประโยชน์กันล่ะ

โอ้โฮ! ถ้าจะเอาผลประโยชน์ที่มากน้อยนี่ไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วไง ทำดีต้องได้ดี แต่ทำที่ไหนไง ถ้าทำคุณงามความดี ทำดีที่เราพอใจ อันนั้นทำความดีเพราะเราต้องแข่งขันกับกิเลสในใจของเรา

แต่ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมาแล้ว เรามีสติปัญญาขึ้นมาแล้ว “ทำดีไม่เห็นได้ดีเลย ทำดีไม่เห็นได้ดี” ทำดีต้องได้ดีสิ แล้วทำที่ไหนล่ะ ถ้าคนฉลาดแล้วมันจะหว่านข้าวลงไปที่เนื้อนาที่ดีไง ดินดำน้ำชุ่ม หว่านลงไปที่นั่นไง

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เนื้อนาบุญของโลกๆ เนื้อนาบุญของโลกมันอยู่ที่ไหนล่ะ ถ้าไม่มีพระ จะทำบุญที่ไหน เราทำบุญที่ไหน ดูสิ ในการศึกษา คนทุกข์คนจนมันเป็นการเสียสละทานทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันมีพระ มีพระที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราอยากจะหว่านเนื้อนาของเราไง

แล้วเวลาพระที่ปฏิบัติขึ้นมา พระที่ปฏิบัติก็ถือตัวถือตนไงว่า เราเป็นเนื้อนาบุญของโลก เนื้อนาบุญของโลก

เวลาหลวงตาท่านพลิกกลับไง คนมีสติปัญญามันต้องพลิกไปพลิกมาเพื่อปัญญา ไม่ใช่ซื่อบื้อ เวลาหลวงตาท่านด่านะ นักปฏิบัติโง่อย่างกับหมาตาย หมามันตายแล้วมันยังฉลาดกว่าเราเดินจงกรมอยู่นี่ หมามันตายมันมีความรู้สึกนึกคิดหรือไม่ นี่ไง เวลาภาวนาขึ้นมา โง่อย่างกับหมาตาย

มันต้องฉลาดสิ เวลาฉลาดขึ้นมา เวลาพลิกกลับมา พระก็เหมือนท้องนา เวลาชาวไร่ชาวนาเขาทำนาของเขา เขาเก็บเกี่ยวของเขา เขาทำของเขา เขาต้องมีผลประโยชน์ของเขา บุญกุศลของโยมที่เขาทำก็เป็นของโยมทั้งนั้นน่ะ ไอ้เนื้อนาบุญ เวลาเขาเก็บเกี่ยวขึ้นมา เวลาเมล็ดพันธุ์ข้าวที่มันร่วงลงนา นามันก็ได้เศษข้าวเศษฟางไง เศษข้าวเศษฟางก็วัตถุนี่ไง เวลาเราเสียสละไปแล้วเพื่อวัตถุ

เวลาเราตักบาตร เวลาเราตักบาตรเนื้อนาบุญของโลก เราอยากได้บุญกุศล เราให้ชีวิตนะ ปัจจัย ๔ ดำรงชีพ ดำรงชีพถ้าคนฉลาดดำรงชีพไว้ทำไม เวลาพระปฏิบัติขึ้นมา ทำภัตกิจเสร็จแล้วเข้าสู่เรือนไม้ เข้าสู่เรือนว่าง ใครได้ฌานสมาบัติ เข้าฌานสมาบัติ ใครได้วิปัสสนา ทำวิปัสสนา ใครได้ปัญญา ใช้ปัญญาของตนขึ้นไป

นี่ไง เวลาดำรงชีพแล้ว ทำภัตกิจเสร็จแล้ว ต่างคนต่างเข้าสู่คูหา เข้าสู่ทางจงกรม เข้าสู่เรือนว่าง เข้าสู่การภาวนานั้น เวลาพลิกกลับขึ้นมา พระทำหน้าที่งานของพระไง ถ้างานของพระ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

อุบาสก อุบาสิกา เขามีหน้าที่การงานของเขา เขาต้องเลี้ยงชีพของเขา เขาอยากหวังบุญกุศลของเขา ข้าวปากหม้อเขาตักใส่บาตรผู้ทรงศีลไปก่อน ผู้ทรงศีล ที่เหลือแล้วเขาดำรงชีพของเขา เราได้ภัตตาหารนั้นมา เราทำภัตกิจของเราเสร็จแล้วเราเข้าสู่ทางจงกรม เข้าสู่ภาวนา นี่ไง ถ้ามันพลิกกลับมา พลิกกลับมามันก็ต้องต่างคนต่างขวนขวายไง อุบาสก อุบาสิกาเขาก็ขวนขวายของเขา เขาทำบุญกุศลของเขา เขาทำคุณงามความดีของเขา เขาทำความดีได้ขนาดนั้นนะ

หน้าที่ของพระๆ พระเป็นนักรบ รบกับใคร รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง เวลานักรบเขาต้องมีสนามรบ เขาต้องมีอาวุธของเขา ไอ้เราจะรบของเรา เราต้องมีสติปัญญาของเรา ต้องมีสมาธิของเรา ต้องมีปัญญาของเรา

เวลาถ้ามันมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาทั้งวันทั้งคืน ๗ วัน ๗ คืน มันมีแต่ความสุข ความสงบ ความระงับ มันมีแต่ความสุขสดชื่น ชื่นบาน สุขหนอ สุขหนอ แล้วหาซื้อที่ไหนไม่ได้ ไม่มีที่ซื้อที่ขายที่ไหน

ในพระไตรปิฎกเป็นทฤษฎี เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชี้เข้ามาที่ใจของสัตว์โลก พระไตรปิฎกนอกคือในตู้พระไตรปิฎกนั้น ใครไขหัวใจของตน เปิดหัวใจของตน พระไตรปิฎกใน ถ้าเปิดพระไตรปิฎกในมันจะเห็นอริยสัจ มันจะเห็นสัจจะความจริงในใจของตน ถ้าเห็นสัจจะความจริงในใจของตน นี่หน้าที่ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน

สิ่งมีชีวิตๆ สิ่งมีชีวิตมันต้องเกิดต้องตาย แล้วเวลาต้องเกิดต้องตาย เวลามันจะเกิดจะตาย มันมีเวรมีกรรมนี่ไง เวรกรรม เพราะสิ่งมีชีวิตได้กระทำมา มีเจตนาของมัน มีการกระทำของมัน มโนกรรมๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวสิ่งใดเลย มันเกิดมโนกรรม

เวลาสิ่งที่สำคัญที่สุด เวลาอยู่คนเดียวให้ระวังความคิด เวลาคิดขึ้นมาคิดได้ร้อยแปด เวลาอยู่คนเดียวจะควบคุมความคิดของตน ควบคุมไม่ได้ ถ้าควบคุมไม่ได้ มันจะเริ่มต้นภาวนาอย่างไร เวลาภาวนา ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิใช้ปัญญาไล่ต้อนความคิดของเราเข้ามา ความคิดที่มันไปกว้านโลกนี้เป็นของเราไง โลกนี้ไม่พอที่มันจะต้องการปรารถนานะ ทุกคนจะครองจักรวาล ไม่ใช่ครองโลก ครองโลกยังไม่พอ ความคิดไม่มีสิ้นสุด ตัณหาความทะยานอยากล้นฝั่ง ล้นหัวใจ ล้นไปหมดเลย แล้วมันเป็นโทษไหม มันเป็นโทษขึ้นมาเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันขับดันไง ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา รักษาไว้

สมาธิ หลวงตาท่านสอนไว้ สมาธิมันเหมือนน้ำล้นแก้ว สมาธิคือสมาธิไง ถ้ามันไม่ให้ความรู้สึกนึกคิดล้นหัวใจออกไป ถ้าความรู้สึกนึกคิดมันไม่ล้นหัวใจออกไป มันอยู่ในกรอบไหม ถ้าอยู่ในกรอบขึ้นมา สิ่งใดควรและไม่ควรไง คิดแล้วมันทุกข์หรือมันสุขล่ะ ถ้าคิดแล้วมันทุกข์ คิดไปทำไม ถ้าคิดแล้วมันสุข ควรเหยียบคันเร่งๆ ถ้าคิดมันเป็นความคิดที่ดี เวลาความคิดอย่างนี้มันเกิดขึ้น เวลาภาวนาเกิดขึ้น มันทำได้ทั้งนั้นน่ะ อยู่ในทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนามันทำได้ คนที่นั่งสมาธิภาวนาทำได้ มันต้องมีงานทำ งานทำคือว่าวิถีแห่งจิต เวลาจิตมันเคลื่อนไป ความรู้สึกนึกคิดเคลื่อนไป แล้วมีสติปัญญาคุมหัวใจ คุมความคิด แล้วความคิดที่มันเกิด มันเกิดจากใจ มันไม่ใช่ใจ แต่มันเกิดจากใจ

เราเกิดเป็นมนุษย์เราก็มีกาบ มีธาตุและขันธ์ ๕ ความคิดเป็นมนุษย์ แล้วมนุษย์ก็สงสัยในเทวดา มนุษย์สงสัยพรหม มนุษย์สงสัยนรก เพราะอะไร เพราะเวลามันไม่ได้สถานะนั้นไง ได้แต่กาบ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ไง

เวลาเกิดเป็นเทวดา วิญญาณาหาร เขามีขันธ์ ๔ ไม่มีรูปร่าง เขาเป็นทิพย์ เกิดเป็นพรหม ขันธ์ ๑ ขันธ์ ๑ คือผัสสาหาร เวลาของเขา เขาอยู่ในสถานะใด เขาก็ไม่สงสัยในสถานะนั้น แล้วจิตดวงนี้มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเคยเกิดทุกๆ ภพ ทุกๆ ชาติมา มานั่งอยู่นี่ไม่ใช่มาชาตินี้หรอก มันมีของมันมาอยู่แล้ว ถ้ามันไม่มีของมันมา ความรู้สึกนึกคิดของเรามันจะไม่แตกต่างกัน

ความรู้สึกนึกคิด ความปรารถนา ความต้องการของคนไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกัน ต้องการสิ่งเดียวกันก็ยังเข้มข้นเบาบางแตกต่างกัน ไม่มีเหมือนกัน เพราะการกระทำนี่ไง เพราะกรรมของตนไง เพราะจริตนิสัยของตนไง เพราะจริตนิสัยของตน เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ พันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิตที่มันตัดแต่งมาไง พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย มันตัดแต่งมา มันทำของมันมาจนเต็มล้น แต่เต็มล้นในโลกนะ เต็มล้นในโลก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดที่ลุมพินีวัน “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” เต็มล้นแล้ว แต่ยังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเกิดอาสวักขยญาณในหัวใจ นั่นเกิดมรรคเกิดผลไง

สิ่งใดก็แล้วแต่เกิดมรรคเกิดผล แร่เหล็ก แร่เหล็กเขาขุดมาถ้ายังไม่ได้หลอม มันยังใช้เหล็กเป็นประโยชน์ไม่ได้ มันเป็นแร่ นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาพร้อม เกิดมาพร้อม เราต้องหลอม เราต้องพิจารณา เราต้องแก้ไข เราต้องมีมรรคมีผล ต้องมีการกระทำในใจ ถ้าการกระทำเกิดขึ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาถึงได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงทะลุปรุโปร่ง

ก่อนหน้านั้นเวลาจะออกจากราชวัง คนเรานะ ดูสิ มีภรรยาแล้วเพิ่งคลอดบุตร แล้วเราต้องพลัดพรากจากไป ดูสิ ดูหัวใจของคนที่มันสั่นไหวนะ มันทุกข์ยากขนาดไหน แต่ด้วยอำนาจวาสนาที่บารมีเต็มนั้นน่ะ มันต้องไป ถ้าเข้าไปแล้วมันจะจบสิ้นเลย เข้าไปแล้วมันจะต้องอยู่ที่นั่นเลย ฉะนั้น ถึงต้องตัดใจ ตัดใจออกไป

เราจะบอกว่า ก่อนที่จะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ สร้างบารมีมาเต็มนะ แร่เหล็กที่ยังไม่ได้หลอม แร่เหล็กที่มันมีของมันอยู่ไง แร่ธาตุที่มันมีอยู่ไง แต่เวลามันหลอมขึ้นมา มันต้องมีการหลอม มันต้องมีการกระทำ เวลาพระสารีบุตรไปถามพระอัสสชิไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างไรๆ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าไม่ได้ดับเหตุนั้น มันจะเกิดมรรคเกิดผลไม่ได้ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ดับที่เหตุนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ทุกข์ๆๆ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะสมุทัย ทุกข์เพราะตัณหาความทะยานอยาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กำหนดทุกข์ กำหนดที่เราเผชิญ แล้วไปแก้ไขที่ความไม่พอใจน่ะ ไปแก้ไขตัณหาความทะยานอยาก พอแก้ไขตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาความทะยานอยากเป็นสมุทัยที่มันหลุดออกไปจากการคาดหมายของเราทั้งหมด ไม่เห็นทุกข์เลย ก็ชีวิตมันเป็นอย่างนี้ไง ทุกข์อะไรล่ะ คนเกิดมาก็เป็นคนไง คนเกิดมาก็ต้องมีหน้าที่การงานไง คนเกิดมาก็ต้องทำงานไง ทุกข์อะไรล่ะ

แต่ก่อนหน้านั้นถ้าเป็นสมุทัยนะ มันคาดมันหมายไง สิ่งที่ยังไม่มาถึงก็อยากได้ สิ่งที่มีอยู่ก็ผลักไส ไม่ต้องการๆ สิ่งที่ไม่รู้ ไม่รู้คืออัพยากฤต ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง อยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมา เวลามันไปชำระสมุทัยแล้ว มีอะไร มันก็เป็นธรรมชาติไง คนก็เกิด แก่ เจ็บ ตายไง แต่หัวใจที่มันรู้แจ้งแล้ว มันรู้แจ้ง มันไม่เผลอ อวิชชาคือความไม่รู้ เพราะความไม่รู้ถึงเกิด มันรู้แจ้ง มันไปเกิดอะไร มันรู้แจ้ง มันจะไปไหน ถ้ามันรู้แจ้งไง

สิ่งมีชีวิตที่มีวิญญาณครอง วิญญาณตัวนั้น เพราะสิ่งที่มีชีวิต ภพชาตินี้ก็เป็นภพชาติหนึ่งนะ ผลของวัฏฏะคือเป็นโอกาสหนึ่ง แล้วเราก็ต้องพลัดพรากไป วัสดุต่างๆ ที่ก่อสร้างขึ้นมาก็ต้องบำรุงรักษา จะมีการบำรุงรักษา ถ้าไม่มีการบำรุงรักษา มันจะเสื่อมสภาพเร็วมาก บ้านร้าง เดี๋ยวก็ผุพัง บ้านที่มีคนอยู่นะ บ้านนั้นจะอยู่ได้นาน นี่ก็เหมือนกัน จิตใจอยู่ในร่างกายนี้ ถ้ามีสติมีปัญญา เรารักษาของเรา

สิ่งมีชีวิตมีการเกิดและการตาย วัตถุมันไม่มีการเกิดและการตาย แต่มนุษย์เป็นผู้ที่มีปัญญา ไปประดิษฐ์ประดอยจัดสรรขึ้นมาให้เป็นแบบนั้น กายกับใจๆ ไง ร่างกายนี้เป็นวัตถุ ธาตุดินๆ ดินที่เกิดมา เกิดจากไข่ เวลาทางโลก พันธุกรรม ดีเอ็นเอพ่อแม่ทั้งนั้นน่ะ แต่จริตนิสัยไม่เหมือน จริตนิสัยที่ดีกว่าหรือเลวกว่า จริตนิสัยที่ดีกว่า ดีกว่าเพราะพันธุกรรมของจิตมันแต่งมาดี ถ้าพันธุกรรมที่มันเลวกว่า เลวกว่าเพราะอะไร เลวกว่าเพราะมีเวรมีกรรมไง

คนจะเกิดร่วมกันนะ มันต้องมีเวรมีกรรมร่วมกัน หลวงตาท่านใช้คำว่า “สายบุญสายกรรม” ไม่มีสายบุญสายกรรม เราจะไม่เกิดเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน แม้แต่เกิดมาเป็นมนุษย์ในปัจจุบันนี้ เราเป็นญาติกันโดยธรรมๆ ถ้าเราไม่เป็นญาติกันโดยธรรม เราไม่มาพบหน้ากันหรอก เป็นญาติกันโดยธรรม มีเวรมีกรรมร่วมกัน เขาเรียกสภาคกรรม กรรมเฉพาะเรื่องสายบุญสายกรรม สภาคกรรม กรรมที่เราเคยร่วมสร้างกันมาในสังคม แล้วเราก็จะต้องมาพบหน้ากัน เห็นไหม ผลของวัฏฏะๆ เหมือนสวะลอยในน้ำ ลอยไปในน้ำแล้วก็ไปปะทะกัน ชนกัน แยกกันอยู่ในน้ำนั่นน่ะ วัฏฏะๆ ไง

สิ่งมีชีวิตมีการเกิดและการตาย แต่เกิดมาแล้ว กรรม การกระทำ เจตนาของเรา ทำให้ดี รักษาให้ดี เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วพระพุทธศาสนากึ่งพุทธกาล หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านขวนขวาย ท่านมีการกระทำของท่านมา เวลาท่านเทศนาว่าการ ธรรมที่ออกมาจากใจ ใจที่มีคุณธรรม เวลาหลวงปู่มั่นเทศน์ขึ้นมามันกินหัวใจไง มันทิ่มเข้าไปที่หัวใจของมนุษย์ไง มนุษย์ที่มีกิเลส อวิชชา มีความไม่รู้ มันทิ่มเข้าไปกลางหัวใจนี่ไง

นี่ไง เราเกิดมากึ่งพุทธกาล เกิดมาพบครูบาอาจารย์ แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติในหัวใจของท่าน ท่านสมบุกสมบันมานะ ท่านเอาชีวิตแลกมานะ แลกมาเพื่อใคร ก็แลกมาเพื่อท่าน ไม่ใช่เพื่อเราหรอก แต่พอได้แล้ว ธรรมอันนั้นท่านมาเผื่อแผ่พวกเราไง ถ้าเผื่อแผ่พวกเรา เวลาฟังธรรมๆ มันถึงสะเทือนใจไง นี่ธรรมกรรมฐาน

องค์หลวงตาพูดไว้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการฟังธรรมๆ ถ้าไม่ได้ฟังแล้วมันมืดตื้อ อ่านแล้วก็สงสัย ยิ่งอ่านยิ่งงง แต่ถ้ามันมีครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริง เวลาท่านทิ่มเข้ามา เหมือนแสงเลเซอร์เวลามันจี้เข้าไปตรงที่มันเป็นจุดเป็นต่อม สิ่งที่มันไม่เป็นประโยชน์ มันจะตัดจะแต่ง มันทิ่มเข้ามาในใจเรา

เชื่อหรือไม่เชื่อนั่นเก็บไว้ก่อน กาลามสูตร เข้าทางจงกรม นั่งสมาธิ แล้วมันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง เดี๋ยวมันจะเข้าไปถึงปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกเหมือนกัน ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้นะ มาวัดมาวา

สิ่งมีชีวิตมีการเกิดและการตาย สิ่งที่ไม่มีชีวิตมันก็ต้องย่อยสลายบุบสลายของมันไป แล้วเราจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตแล้วมีสติปัญญา หรือจะเป็นวัตถุอันหนึ่งให้สังคมมันหล่อหลอมไปตามกระแสสังคม ไม่รู้เหนือรู้ใต้ แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับอะไรน่ะ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา เราต้องมีสติมีปัญญา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เพื่อหัวใจดวงนี้ เอวัง